วันอาทิตย์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

                              
                                    อัตตชีวประวัติของพระอาจารย์สุวรรณ สิริวัณโณ


ปฐมวัย

นามเดิม สุวรรณ นามสกุล ศรีชาดา เกิดเมื่อวันที่ ๔ มกราคม พ.ศ.๒๕๑๑ ตรงกับวันพฤหัสบดี ขึ้น ๓ ค่ำ เดือน ๒ ปีวอก ณ บ้านนา ต.นิคม อ.สตึก จ. บุรีรัมย์ ซึ่งอยู่ในเทศกาลปีใหม่พอดี อยู่ที่นี้ไม่นาน พ่อแม่ก็พาอพยพถิ่นฐานบ้านใหม่ โดยไปอยู่ที่บ้าน กะทะ ต.เมืองบัว อ.พยัคฆ์ภูมิพิสัย จ.มหาสารคาม บิดาชื่อ นายตา มารดาชื่อ นางอึ่ง มีพี่น้องร่วมอุทร ๗ คน ท่านเป็นบุตรคนที่ ๖ เป็นชาย ๓ คน เป็นหญิง ๔ คน อยู่ที่นี้ก็ไม่นานอีกพ่อแม่ก็พาอพยพไปอยู่ที่บ้านดอนสวรรค์ ต. บ้านต้อง อ. เซกา จ.หนองคาย ในปีพ.ศ. ๒๕๑๗ และอยู่จนถึงปัจจุบันนี้ พระอาจารย์เล่าต่อว่า เมื่อแรกๆทีย้ายบ้านไปอยู่ใหม่นั้น ที่นั้นยังมีป่าไม้อุดมสมบูรณ์มาก มีสัตว์ป่านานาชนิด เช่นหมู่ป่า มาก มีสัตว์ป่าอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก เพราะบ้านอยู่ไม่ไกลจากภูลังกาและอยู่ระหว่างภูสิงห์ ภูวัว ภูทอก ซึ่งปัจจุบันนี้เป็นเขตอนุรักษ์สัตว์ป่าภูวัว ซึ่งในสมัยนั้นยังเป็นถิ่นทุรกันดานมาก ต้องอยู่อย่างสมถะ พ่อแม่มีอาชีพทำไร่ และทำนา แต่ปัจจุบันเป็นแหล่งปลูกย่างพารากันทั้งอำเภอไปหมดแล้ว ในบริเวณจังหวัดหนองคายนี้ ส่วนมากป่าไม้แต่เดิมเป็นป่าดงดิบมาก มีไม้ยาง และป่าไม้นานาชนิด เพียงระยะเวลา ๔ ๐ ปีเท่านั้นกลับไม่มีสภาพอย่างเดิมเหลือนแม่แต่นิดเดียว จะมีป่าไม้บ้างก็อยู่ที่เป็นป่าสงวนแห่งชาติ

ในวันเยาว์ท่านก็ได้กล่าวให้ฟังว่า ท่านอยู่ที่บ้านดอนสวรรค์ นี้ซึ่งเป็นป่าดงดิบอยู่ในสมัยนั้น ซึ่งเป็นช่วงที่มีคอมมิวนิสค์อาศัยอยู่ที่ภูวัว และเขตติดต่อกันกับจังหวัดสกลนคร การคมนาคมก็ไม่สะดวก ในตอนกลางคืนชาวบ้านก็อยู่เวรยามเป็นอาสาป้องกันหมู่บ้าน โดยมีกำลังทหารพรานมาฝึกอบรมให้ชาวบ้านรู้จักป้องกันตนเองประมาณปีพ.ศ.๑๗-๑๘ ก่อนที่ประเทศลาวจะมีการปฏิบัติใหญ่ในปีนั้น ในช่วงตอนเวลากลางคืนจะมองเห็นเครื่องรบบินผ่านเป็นประจำไม่รู้ว่าจะไปทิ้งระเบิดที่ไหน แต่คาดเดาว่าน่าจะเป็นเมืองลาว บริเวรแขวงสุวรรณเขต ซึ่งเป็นเขตสู้รบกันในสมัยนั้น อยู่มาไม่ถึงปีก็มีชาวลาวพากันอพยพจากฝั่งประเทศลาวมาเข้ามาในประเทศไทยมาก ทางรัฐบาลไทยได้ตั้งศูนย์ผู้อพยพที่จังหวัดหนองคาย และที่จังหวัดนครพนมเป็นจำนวนมาก และคนทีอพยพมาก็มีบ้างคนถูกยิงตายขณะพยายามข้ามแม่น้ำโขงมาก็มีไม่น้อย เพราะทหารลาวไม่ยอมให้คนอพยพมาที่ฝั่งไทย บางคนก็ได้อาศัยต้นกล้วยพยุงตัวเพื่อหลบกระสุนลูกปืนของทหารลาวแดง ในช่วงนั้นสังคมไม่สงบ นี้คือเหตุการที่พอจำได้ในสมัยนั้น ก่อนที่จะลืมเลือนไปจึงของจาลึกไว้เป็นอนุสสติแก่คนรุ่นหลังบ้าง ในเมื่อเราผ่านช่วงสงครามมาสู่ความสันติสุข คนเราจะไม่ต้องคิดทะเลาะกัน ทำให้สงคมแตกแยก ช่วงนั้นท่านพระอาจารย์ก็ยังเป็นเด็ก และเห็นเหตุการก็สามารถจำได้ดี ลักษณะนิสัยและอุปนิสัยที่เหมือนเหมือนแม่ คือคุณแม่ท่านเป็นคนชอบฟังธรรมสวดมนต์ทุกวันพระ แรม ๘ ค่ำ ขึ้น ๘ ค่ำ หรือขึ้น ๑๕ ค่ำ ก็ดี หรือวันธรรมดาก็ดี คุณแม่ท่านจะต้องไหว้พระสวดมนต์ ในเวลา ๖ โมงเย็น ถึง ๑ ทุ่ม เป็นประจำกิจวัตรท่านเสมอ คุณแม่ท่านพระอาจารย์มักจะได้ให้ท่านเก็บดอกไม้มาบูชาพระเป็นประจำวัน ด้วยการเก็บมาแล้วนั้นให้ได้ ๕ คู่ หรือที่ชาวบ้านเรียกว่าการแต่งเป็นขัน ๕ ขัน ๘ คือมีดอกไม้ ๕ คู่ เทียน ๕ คู่ ดอกไม้ ๘ คู่ เทียน ๘ คู่ ท่านได้เห็นคุณสวดมนต์ประจำอยู่อย่างนี้จนคุณแม่ท่านได้เสียชีวิตไปในปี พ.ศ.๒๕๒๓ และคุณแม่ท่านชอบทำบุญให้ทานเป็นนิจ เมื่อมีพระกัมมัฏฐานมาสร้างวัดที่หมู่บ้าน ในสมัยนั้นพระกัมมัฎฐานยังไม่เป็นที่รู้จักจากชาวบ้านมากนัก เพราะท่านชอบปลีกวิเวกอยู่ในป่าช้าบ้าง หรือในถ้ำบ้าง จำไม่มีรูปใด มาสร้างวัดใกล้บริเวณหมู่บ้านเลย แต่โชคดีของชาวบ้านดอนสวรรค์ พระกัมมัฎฐานท่านมักจะนิยมเดินทางผ่านเป็นประจำ เพราะหมู่บ้านอยู่ระหว่างภูเขา ๒ ลูก คือภูทอก ภูวัว และภุลังกา ซึ้งเป็นแหล่งภาวนาของพระกัมมัฏฐานจากอดีต จนถึงปัจจุบันนี้ วัดป่าดอนสวรรค์ซึ่งเป็นป่าดงดิบอยู่เป็นเกาะกลางแม่น้ำโขงหลงนั้นเองซึ่งเป็นที่สัปปายะมากในสมัยนั้น คนก็มีน้อยไม่มีใครไปรบกวนการภาวนาของท่านเลย จึงได้มีพระกัมมัฎฐานแวะมาพักจำพรรษาอยู่เป็นประจำ

ท่านอาจารย์ได้เห็นพระมาบิณบาตรและคุณก็ใส่บาตรเป็นประจำอยู่เป็นนิจ ดังนั้นชีวิตในวัยเยาว์ของท่านก็จึงอยู่ไกล้ชิดกับศาสนา บ้างวันก็ไปอุปัฏฐากหลวงปู่หรือนอนที่วัดกับหลวงปู่ และพระเณร สมัยเรียกสังกะรี(คือคนรับใช้พระเณรปเพื่ออยู่อุปัฏฐาก ท่าน เช่นตมน้ำร้อน ต้มน้ำสมุนไพรถวายหลวงปู่เป็นต้น พระในสมัยนั้น พอถึงตอนเย็นท่านจะเข้าครองผ้า คืออยู่ครองผ้า ๓ ผืน ซึ่งเป็นผ้าไตรในวันบวช นั้นเอง จนกว่าจะได้รุ่งอรุณของวันใหม่ คือสามารถมองเห็นแสงทองของพระอาทิตย์ในรุ่งเช้านั้นเอง ท่านจึงจะออกมาจากห้องนอนของท่าน การได้เห็นวัตรปฏิบัติของพระในอดีต จะทำให้ท่านคุ้นเคยกับหลักของศาสนา หรือเป็นบุญเก่าแต่ปางหลังไม่อาจทราบได้ เพราะอยู่บ้านก็นอนฟังแม่ไหว้พระสวดมนต์ พอมาอยู่วัดก็ไหว้พระสวดมนต์ ชีวิตท่านเหมือนกับพระได้ยินเสียงพระธรรมอยู่เป็นประจำวันนั้นเอง ในสมัยนั้นหนังสือก็ไม่มีอ่าน ไฟฟ้าก็ไม่มี จะมีก็เพียงตะเกียงน้ำมันก๊าชเท่านั้น หรือชาวบ้านป่าในสมัยนั้นนิยมทำกันคือใช้น้ำมันยาง ที่ได้จากต้นยางในป่า นำมาผสมกับไม้ที่ผุแล้ว และนำมามัดเป็นตะปอง(ไต่)จุดส่องสว่างในตอนกลางคืนเท่านั้น ท่านมีอัศยาศรัยที่เป็นเหมือนแม่คือเป็นคนที่มีใจเย็นเหมือนแม่ของท่าน หรือเป็นเพราะธรรมชาติที่อยู่รอบๆตัวของท่าน ที่สมัยเป็นเด็กก็มีชีวิตอยู่กับป่าเขาลำเนาไพร เวลามาบวชท่านจึงมีอัศยาศัยอยู่ตามลำพังมากกว่า เพราะได้พิจารณาธรรมะได้ดีกว่าอยู่เป็นหม่คณะ เมื่อกล่าวถึงสมัยนั้น การบำเพ็ญภาวนาของพระก็อยู่แต่ในวัดก็สงบมาก เพราะตอนเย็นคนก็นอนหมด ไม่มีใครส่งเสียง ได้ยินแต่เสียงสัตว์ป่าที่ออกมาหากินในตอนกลางคืนเท่านั้น เมื่อท่านได้ใกล้ชิดกับพระตั้งแต่อายุยังน้อย จึงทำให้ท่านมีจิตใจน้อมมาในการบวช

วันเสาร์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

เหมือนตายแล้วฟื้น


เรื่องระทึกในวันเยาว์ในช่วงที่เป็นเด็กนั้น เป็นช่วงฤดูฝนตกหนักและทำให้แม่น้ำในบึงโขงหลง มีน้ำขึ้นเต็ม เด็กก็พากันนำเรือพาย ออกมาพายเล่นในบึงโขงหลง ไม่รู้ว่าพ่ายเล่นกันอย่างไร ไม่นานก็ทำให้เรือล่ม ต่างคนก็ต่างลอยคอในแม่น้ำ อาจารย์เล่าว่าตอนนั้นท่านก็ยืนมองดู ว่าทำไหมไม่ได้ยินเสียงเด็ก ร้องเพลงเลย ท่านก็หันมองไปในกลางแม่น้ำ ก็พบว่าเรือได้ล่ม นั้นเอง ท่านก็ได้นำเรื่อที่จอดอยู่ริมฝั่งออกไปช่วยเหลือ จนคนทั้งหมดรอดชีวิตมาได้ เดียวนี้คนที่ท่านช่วยนั้นได้เป็นผู้ใหญ่บ้านแล้ว เหมือนบุญกรรมมีผล ในสมัยที่ท่านบวชเป็นสามเณรใหม่ๆก็ มีเรื่องระทึกเช่นเดียวกัน คือเมื่อท่านบวชได้สองปี ก็ได้มาจำพรรษาที่วัดกลาง จังหวัดบุรีรัมย์ ด้วยความที่ท่านเป็นคนบ้านนอก เลยไม่รู้ว่าสายไฟฟ้ามีคุณมีโทษอย่างไร เมื่อตอนบ่ายได้ลงมาสงน้ำ(อาบน้ำ) ก่อนจะไปเรียนหนังสือ ก็ได้ใช้มือเก็บสายฟ้า ที่ฟาดลงมาจากข้างบนกุฏิ ไม่รู้ว่าไฟฟ้าได้ช๊อต แต่มารู้สึกตัวในตอนประมาณ เวลา ๔ ทุ่ม ของวันนั้น คือได้ตายไปประมาณ สิบกว่าชั่วโมง ท่านเล่าว่า มันมืดสนิทไปเลย เหมือนกับเรานอนหลับสนิทนี้เอง ไม่รู้ว่ามีร่างกาย หรือว่ามีโลกมนุษย์อยู่เลย เงี่ยบสนิทอย่างนั้น แต่เมื่อรู้สึกตัวขึ้นมา ก็ได้สังเกตุว่า ที่นอนเราไม่สวยงามอย่างนี้ นี้มันเป็นที่ไหน สักพักเมื่อสติกลับมาเต็มที่ก็ได้หันไปมองด้านข้าง ก็มีแสงไฟสว่างมาก ด้านข้างก็เป็นห้องที่ขาว ตามจมูกมีสายยางช่วยหายใจ สอดเข้าในจมูก แขน หรือขาก็โดนฝูกไว้กับเตียงพยาบาล โดยมีสายน้ำเกลือให้อยู่ตลอดเวลา เพราะหมอบอกว่า ไม่ให้เลือดในร่างกายแข็งตัว เมื่อรู้ว่าตัวเองได้มานอนอยู่ใน โรงพระยาบาลอย่างนั้น ก็พยายามนึกว่านี้ เรามาอยู่ในที่นี้ได้อย่างไร ก็พอดีว่าร่างกายนี้หิวน้ำมากๆที่เดียว เมื่อรู้สึกตัวขึ้นมาใหม่ๆ ก็ได้ขอน้ำจากพยาบาล มาฉันได้เพียงแค่จิ่บน้ำเท่านั้น หมอบอกว่า กินน้ำมากยังไม่ได้ เพราะกำลังให้น้ำเกลือ จะทำให้น้ำท่วมปอดได้ ท่านอาจารย์เล่าต่อว่า เมื่อรู้ว่าตัวเองได้มาอยู่ที่โรงพระยาบาลได้อย่างไร ก็พยายามถามพยาบาลที่มาให้น้ำเกลือว่า มีสามล้อนำสามเณรมาส่งที่โรงพระยาบาล ทีแรกๆทางหมอบอกว่า ดูอาการน่าจะไม่รอด แต่เห็นกับว่าเป็นเณรก็เลยลองปั้มหัวใจดู แต่ด้วยบุญเก่ายังมีอยู่บ้าง ก็เลยรอดชีวิตมาได้ แต่เมื่อตอนเช้ามาก็มีอาจารย์มาเยี่ยม ท่านเล่าให้ฟังว่า เมื่อตอนเห็นเณรถูกไฟซ๊อต ท่านไปเรียกรถสามล้อคันไหนก็ไม่ไปส่ง โดยเขาเห็นอาการแล้วเขากลัวว่าเณรจะมาตายใส่รถของเขา

แต่เพราะความดีที่เณรได้ทำไว้ ก็มีสามล้อคันหนึ่งมาพอดีให้ตอนบ่ายๆ สามล้อคันนี้ทุกวันแก่จะมานอนใต้ร่มไทร ภายในวัดเป็นประจำ ด้วยความที่แกมองเห็นว่าเณรรูปนี้เคยให้อาหาร หลายเขาก็จำได้ ก็เลยอาสาพาเณรมาส่งที่โรงพระยาบาลนี้แหละเณร อาจารย์กล่าวต่อไปว่า ตอนนี้ให้เพื่อนของเณรไปตามญาติมารับศพที่โรงพระยาบาลแล้ว นึกว่าเณรจะกลายเป็นศพเสียแล้ว เป็นบุณแล้วหละเณร ต่อไปสร้างแต่ความดีตอบแทน โยมสามล้อคนที่นำเณรมาส่งโรงพระยาบาล ท่านพระอาจารย์กล่าวต่อว่า ความดีที่ทำไปแล้วไม่ช้าก็เร็วย่อมได้รับผลแน่ ท่านพระอาจารย์เล่าให้ฟ้งอีกว่า ก็นับว่าเป็นบุญแท้ๆที่รอดชีวิตมาได้ ก็ย้อนรำลึกถึงสมัยเป็นเด็กได้ช่วยเหลือคนให้รอดตาย เมื่อสมัยเรือล่ม นั้นเอง ช่วยชีวิตผู้อื่น ตนก็ย่อมรอดพ้นจากภัยพิบัติที่หนัก ๆได้ ตั้งแต่นั้นมาท่านกล่าว ถ้าเดินฝ่านไปตามทุ่งนาที่มีน้ำลดจนปลาไกล้จะตาย ท่านก็ช่วยเหลือปลาพวกนั้นให้รอดตายทุกครั้ง ด้วยคิดว่าให้ชีวิตแก่ผู้อื่น ตนก็จะมีชีวิตยืนยาว ขอฝากท่านสาธุชนทั้งหลาย ช่วยพิจารณาดูก็แล้วกันทำดีมีผล ให้สุขแก่ท่าน สุขนั้นถึงตัว ให้ทุกข์แก่ท่าน ทุกข์นั้นถึงต้วเช่นกัน

วิทยุออนไลน์

ยินดีต้อนรับทุกๆท่านที่ชอบฟังธรรมะ

 สวดมนต์จีน >::สวดมนต์อินเดีย >และสวดมนต์ธิเบต>::สวดมนต์ไทย >::เสียงหนังสือธรรมะ >::เสียงเพลงธรรมะ::,

 ::suwanradio คือมิตรภาพบนโลกไอที ::
 

สถานีความแห่งความรู้สาระธรรมบนโลกอินเตอร์เน็ต ศูนย์รวมแห่งเสียงธรรมะดีดี 


วิทยุวัดป่าดอนสวรรค์

Blogger Tricks


 
Design by Wordpress Templates | Bloggerized by Free Blogger Templates | Web Hosting Comparisons