สมาธิในพระพุทธศาสนา
ในมรรคมีองค์ ๘ ท่านสงเคราะห์
“สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ” เป็น สมาธิ
หมายความว่า ในการปฏิบัติสมาธิในพระพุทธศาสนานี้
มรรคทั้ง ๓ จะทำงานสัมพันธ์กันตลอดเวลา เพื่อรวมจิตให้สงบเป็นสมาธิ
กล่าวคือ จะต้องสลัดนิวรณ์อันเกิดขึ้นเนื่องด้วยอารมณ์กระทบออกไปให้หมด
ด้วย “สัมมาวายามะ” ยกจิตขึ้นเพ่งดูอารมณ์ ในสติปัฏฐาน ๔
และประคองจิตมิให้แลบออกไปสู่อารมณ์อื่นๆด้วย “สัมมาสติ”
เกิดความอิ่มใจ เบากาย เบาใจ เป็นสุข ที่จิตสงบขึ้น
และจิตปล่อยวางอารมณ์และอาการของจิตที่เนื่องด้วยอารมณ์
จนหมดในที่สุด ด้วยอำนาจ “สัมมาสมาธิ”
เพราะฉะนั้น สัมมาสมาธิ จึงไม่ใช่สมาธิแบบหินทับหญ้า
เหมือนดังสมาธิของศาสนาอื่น
ซึ่งยึดอารมณ์เดียวแนบแน่นเป็นเอกัคคตา แต่ประการใด
แต่เต็มไปด้วยพลัง สติ ระวังตัว สงบตั้งมั่นอยู่เสมอ
เมื่อพลังสติทำงานอย่างเต็มที่อยู่เช่นนี้แล้ว
ก็ย่อมมีผลให้การพูด การทำ การคิด
ดำเนินการได้ถูกต้องตามทำนองคลองธรรมไปด้วย
ดังนั้น ผู้ที่ปฏิบัติสัมมาสมาธิจึงไม่มีทางเป็นบ้าไปได้เลย
ถ้าพูดให้ถูกแล้ว ย่อมเป็นผู้ที่หายจากการเป็นบ้ามากขึ้น
(ที่หลงเข้าไปยึดถือสิ่งภายนอกอย่างผิดๆฝ่าฝืนสัจธรรมมาตลอดเวลา)
ทำให้พูดถูก ทำถูก คิดถูก ยิ่งขึ้นโดยลำดับ
นี่คือประโยชน์ที่เกิดจากการปฏิบัติสมาธิในพระพุทธศาสนา
สำหรับผู้ที่ปฏิบัติสมาธิแล้วเป็นบ้านั้น ถ้าได้พิจารณาสาเหตุดูแล้ว
ส่วนมากเกิดจากยกจิตขึ้นสู่อารมณ์กามคุณ ด้วยปรารถนาลามก
ไม่ได้ยกจิตขึ้นสู่อารมณ์ในสติปัฏฐาน ๔
ไม่ได้ใช้สติ สกัดกั้นความยินดียินร้ายที่เกิดขึ้นเนื่องด้วยกามคุณนั้นๆ
คงปล่อยจิตให้ยินดีเพลิดเพลิน
และหวังว่าจะหาโอกาสนำมาครอบครองต่อไปในอนาคต
เช่น เพ่งดูรูปผู้หญิงเพื่อทำเสน่ห์ ดูเลข หวยเบอร์ เป็นต้น
ย่อมเป็นบ้าอย่างไม่มีปัญหา
ด้วยเหตุผลดังที่ได้บรรยายมานี้
ผู้ปฏิบัติสมาธิที่หวังความพ้นทุกข์ในพระพุทธศาสนา
จึงต้องจำทางเดินของจิต รวมทั้งวิธีวางจิตให้แม่นยำและแยบคาย
เพื่อให้เกิดสมาธิขึ้นโดยใช้เวลาน้อยที่สุด ที่เรียกว่า วสี
ซึ่งจะควบคุมจิตไม่ให้ถูกนิวรณ์ครอบงำได้ดีที่สุด
(วสี คือ ความชำนาญในการเข้า-ออกจากสมาธิ)
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น