วันอาทิตย์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2553

จิตกับร่างกาย

จิตกับร่างกาย


เนื่องจาก จิต เป็นสภาพธรรมที่ ไม่มีรูปร่าง (อสีรีรํ) จึงไม่สามารถติดต่อรับรู้อารมณ์ใดๆได้โดยตรง เมื่อเข้าไปถือกำเนิดในภพภูมิใดก็ตาม จะต้องสร้างรูปร่างกายไว้ใช้อาศัย(ภพ)สำหรับติดต่อกับอารมณ์อีกทอดหนึ่ง สำหรับมนุษย์นั้น จิตจะต้องสร้างร่างกายขึ้นสำหรับอาศัย โดยเข้าครอบครองหยดน้ำของบิดามารดาที่ผสมกันแล้ว จนกระทั่งหยดน้ำแห้งงวดเข้าตามลำดับ เรียกตามภาษาบาลีว่า กลละ, อัมพุชะ, คณเปสิ, ปัญจะสาขา ซึ่งแยกเป็นหัว ๑, มือ ๒, เท้า ๒ รวม ๕ กิ่งในที่สุด จัดว่าเป็นรูปทารกได้แล้ว แต่ยังต้องรอเวลาเจริญเติบโตในครรภ์มารดาอีก ๘-๙ เดือน จึงจะคลอดออกมาสู่โลกภายนอก รูปร่างกายมนุษย์ ที่คลอดออกมานี้ ประกอบด้วยธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ (มหาภูตรูป ๔) เนื่องจากมหาภูตรูป ๔ มีธาตุไฟประกอบอยู่ด้วย ดังนั้น รูปร่างกายจึงถูกธาตุไฟเผา ให้เปลี่ยนแปรสภาพไปตามกาลเวลาที่ล่วงไปตลอดเวลาเมื่อจิตเข้าครอบครองและยึดถือไว้ ตั้งแต่เป็นกลละอยู่,อย่างเหนียวแน่น เกิดความเพลิดเพลินยินดีและเข้าใจผิดว่าสิ่งสกปรกโสโครกรอบตัวนั้นอบอุ่นน่ารัก และเป็นตัวของตนเอง เพราะลืมสภาพที่แท้จริงของตนเองเสียแล้ว

เพราะฉะนั้นเมื่อคลอดและเติบโตขึ้น ก็ถือเอารูปร่างกายว่าเป็นตัวของตนเอง เมื่อรูปร่างกายป่วย ก็ทึกทักว่าเราป่วย เมื่อรูปร่างกายแก่เฒ่าลง ก็ทึกทักว่าเราแก่เฒ่า หรือเมื่อรูปร่างกายกำลังจะตาย ก็ทึกทักเอาว่าเรากำลังจะตาย ทั้งๆที่เราไม่ได้ป่วย ไม่ได้แก่เฒ่า ไม่ได้ตายและไม่ได้เป็นอะไรทั้งนั้น รวมทั้งไม่ใช่ผู้ชาย ไม่ใช่ผู้หญิง แต่เป็นเพียงผู้เข้ามาอาศัย รู้ อยู่ในรูปร่างกายที่ป่วย,แก่เฒ่าและกำลังจะตายลงเท่านั้น จิตมีความรักใคร่หวงแหนและเพลิดเพลินต่อสิ่งที่ร่างกายรายงานถึงมากที่สุด โดยมอบหน้าที่การรับรู้อารมณ์ทางตา หู จมูก ลิ้น และร่างกายทุกส่วน สำหรับสัมผัสกับอารมณ์ทั้งหมด ไม่ว่าร่างกายจะรายงานรสชาติที่สัมผัสกับอารมณ์ ว่าเปรี้ยวหวานมันเค็มอย่างไรก็ตาม ก็ยกร่างกายทั้งชุด ให้แสดงบทบาทกับอารมณ์ไปตามความรู้สึกที่เกิดขึ้นด้วย แล้วก็ส่งรายงาน ความรู้สึกจากการสัมผัสกันของ ร่างกาย กับ อารมณ์ ให้จิตทราบอีกทอดหนึ่ง ดังนั้น จิตจึงพลอยเห็นดีเห็นงามและหลงใหลกับการรายงานของร่างกายทุกครั้ง ทั้งๆที่รายงานตรงข้ามกับความเป็นจริง ถึงขนาดที่กล่าวได้ว่า: ที่ไหนมีราคะ-ที่นั่นก็มีราคา, ที่ไหนมีราคา-ที่นั่นก็มีราคะ .

ร่างกายเป็นเพียงที่อาศัยของจิต(ภพ)ชั่วระยะหนึ่ง

มีพุทธพจน์จากพระธรรมบท ตรัสเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า "เอถ ปสฺสถิมํ โลกํ จิตฺตํ ราชรถูปมํ, ยตฺถพาลา วิสีทนฺติ นตฺถิ สงฺโค วิชานตํ" แปลว่า "พวกเธอทั้งหลาย จงดูโลก (ร่างกาย) อันวิจิตรดุจราชรถที่คนเขลาหมกมุ่นอยู่ แต่ ผู้รู้ หาข้องไม่" การที่สามัญชนยึดถือเอารูปร่างกายเป็นหลัก และพากันสมมุติเรียกว่า เป็นคน-เป็นสัตว์นั้น เพราะคิดว่ามองเห็นและสัมผัสได้ ใช้เป็นสื่อกระทบอารมณ์ได้เป็นอย่างดี แต่พระพุทธองค์ทรงเห็นสัจธรรมข้อนี้แล้วว่า รูปร่างกาย ทั้งหลายนั้น เป็นแต่เพียง ที่อาศัยของจิต(ภพ)ชั่วระยะหนึ่งเท่านั้น ไม่สามารถดำรงอยู่ในสภาพหนึ่งสภาพใดอย่างเที่ยงแท้ถาวรได้ พอสิ้นอายุขัย ก็ต้องแตกแยกและสลายตัวสิ้นสภาพสุดท้ายไปเป็นธรรมดาเหมือนกันทุกคน จึงไม่สามารถนับเอารูปร่างกายเป็นหลักได้ แต่ทรงเห็นชัดเจนว่าในขณะที่รูปร่างกายแตกออกนั้น จิต ที่อาศัยอยู่ใน รูปร่างกาย เป็นสภาพธรรมที่เคลื่อนออก(จุติ) ไปสร้างรูปร่างกายใหม่สำหรับอาศัยต่อไปอีกตามลำดับ ไม่มีที่สิ้นสุดตลอดเวลาที่เวียนว่ายอยู่ในสังสารจักร แต่สามารถฝึกฝนจิตหรือปฏิบัติจนจิตได้รับมรรคผลได้ ดังนั้น จึงทรงนับเอา จิตเป็นหลัก ร่างกาย กับ จิต จึงเป็นคนละอย่างกัน แต่อาศัยซึ่งกันและกัน กลมเกลียวเสมือนเป็นอย่างเดียวกัน.

จิตกับวิญญาณ (ธาตุรู้กับการรับรู้อารมณ์)

เนื่องจากจิตสามัญชน คุ้นเคยกับอารมณ์ทั้งหลายมาเป็นเวลาช้านานแล้ว ดังนั้น เมื่อมีอารมณ์มากระทบ ก็ย่อมรับรู้และยึดถืออารมณ์นั้นๆไว้เสมอไป จึงเกิดวิญญาณ ๖ ขึ้น

แต่จิตพระอริยะนั้น ได้รับการอบรมให้ปล่อยวางอารมณ์ทั้งหลายที่เข้ามากระทบเสีย วิญญาณ ๖ จึงดับหมดสิ้น เหลืออยู่แต่จิตบริสุทธิ์ นิ่ง สงบอยู่เท่านั้น

การรู้ของพระอริยะนี้เป็นเพียง รู้สักแต่ว่ารู้ (ญาณมตฺตาย) ระลึกก็สักแต่ว่าระลึก (ปฏิสฺสติมตฺตาย) เท่านั้น ไม่มีตัณหาและมิจฉาทิฏฐิปรุงแต่งอยู่ด้วย ดังพระบาลีว่า: "วิญฺญาณสฺส นิโรเธน ตณฺหกฺขย วิมุตฺติโน ปชฺโชตสฺ เสว วิญฺญาณํ วิโมกฺโข เจตโส อหุ" แปลว่า "จิตพระขีณาสพพ้นจากวิญญาณปรุงแต่ง เพราะหลุดพ้นจากตัณหาได้ เหมือนเปลวไฟที่แลบดับ เนื่องจากวิญญาณดับหมดสิ้น" จิตพระอริยะนั้นบริสุทธิ์,ไม่ได้ดับ การรับรู้อารมณ์เท่านั้นที่ดับไปจากจิต ส่วนจิตสามัญชน มีตัณหาและมิจฉาทิฏฐิ กำกับอยู่ด้วย จึงดูเหมือนว่าพลอยเกิดดับไปพร้อมอารมณ์ และหลงเข้าใจผิดว่าตัวเองเกิดดับ.

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

วิทยุออนไลน์

ยินดีต้อนรับทุกๆท่านที่ชอบฟังธรรมะ

 สวดมนต์จีน >::สวดมนต์อินเดีย >และสวดมนต์ธิเบต>::สวดมนต์ไทย >::เสียงหนังสือธรรมะ >::เสียงเพลงธรรมะ::,

 ::suwanradio คือมิตรภาพบนโลกไอที ::
 

สถานีความแห่งความรู้สาระธรรมบนโลกอินเตอร์เน็ต ศูนย์รวมแห่งเสียงธรรมะดีดี 


วิทยุวัดป่าดอนสวรรค์

Blogger Tricks


 
Design by Wordpress Templates | Bloggerized by Free Blogger Templates | Web Hosting Comparisons